พระภิกษุธัมมวิตักโกหรือที่ชาวบ้านรู้จักท่านในนามเจ้าคุณนรฯ ท่านเกิดวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๐ ตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับวันมาฆบูชา ปีระกา เวลาประมาณ ๗.๒๔ น. เดิมชื่อนายตรึก จินตยานนท์ เป็นบุตรคนโตของนายตรอง นางพุก จินตยานนท์ (นายตรอง จินตยานนท์ อดีตคือพระคุณนรนาฎภักดี นายอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี)
ท่านเจ้าคุณนรฯวัยเด็กท่านมีรูปร่างเล็กบอบบาง ผิวพรรณละเอียดอ่อนเปล่งปลั่งเป็นน้ำเป็นนวล อันเป็นลักษณะของผู้มีสกุลชาตฺ ผู้มีบุญวาสนาสูง เมื่อถึงวัยอันสมควร ท่านได้เข้าศึกษาเรียนหนังสือชั้นประถมที่โรงเรียนวัดโสมนัสและศึกษาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร เมื่อศึกษาจบแล้ว เดิมทีท่านตั้งใจจะเรียนแพทย์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย แสดงให้เห็นว่าท่านมีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ แต่พระคุณวรนาฎภักดีบิดาของท่าน ต้องการให้บุตรชายเป็นนักปกครองเจริญรอยตามบุพการี ท่านเจ้าคุณนรฯเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย สูงด้วยความเคารพต่อบิดา จึงต้องทำตามประสงค์ของบิดา เจ้าคุณนรฯท่านจึงเข้าศึกษาขั้นอุดมศึกษาที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนหอวัง ต่อมาได้ยกฐานะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย สำเร็จเป็นรัฐศาสตร์บัณฑิต รุ่นแรก
เมื่อท่านสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้รับราชการในกรมมหาดเล็กหลวง แผนกตั้งเครื่อง ตำแหน่งมหาดเล็กพิเศษ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๗ และระยะเวลา ๘ ปี ท่านก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้เป็นเจ้ากรมห้องพระบรรทม มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยานรรัตนราชมานิต เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๕ ขณะนั้นมีอายุได้ ๒๕ ปี และเป็นองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๗
ท่านเจ้าคุณนรฯรับราชการจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตท่านได้อุปสมบท(บวชหน้าไฟ) เพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศล ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๘ ณ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ ญาณวรเถระ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า"ธมฺมวิตกฺโก"
เมื่อท่านธัมมวิตักโก ได้อุปสมบทแล้ว ท่านตั้งใจว่าจะบวชทดแทนคุณในหลวงรัชกาลที่ ๖ ระยะเวลาหนึ่ง แล้วท่านก็จะลาสิกขาเพื่อไปรับราชการต่อไปและมีครอบครัว เมื่อท่านได้ศึกษาและปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ทราบซึ้งในพระธรรม เล็งเห็นว่า ลาภ ยศ สรรเสริญเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน ท่านจึงตันสินใจจะครองสมณเพศตลอดชีวิตของท่าน ทั้งๆที่ท่านมีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการรอท่านอยู่ ตลอดจนทรัพย์สมบัติและโอกาสที่จะหาความเจริญในทางโลกต่อไปอย่างพร้อมมูล
เมื่อท่านแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติธรรมตลอดชีวิตของท่าน การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของท่านก็เจริญก้าวหน้าจนหาพระภิกษุรูปอื่นเทียบท่านได้ ท่านสามารถถอดจิตไปในสถานที่ต่างๆ แม้สถานที่นั้นจะอยู่ต่างประเทศอันเป็นแดนไกลก็ตาม ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์มากมายหลายครั้ง จนเกิดเสียงร่ำลือของคนไทยทั้งประเทศว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์
การปฏิบัติธรรมของท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในฐานะใดทุกระดับชั้น แม้แต่ข้าราชการที่มีตำแหน่งสูงถึงนายกรัฐมนตรี และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับผู้บัญชาทหารบก ได้แก่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และพลเอกกฤษณ์ สีวะรา ก็ให้ความเคารพนับถือท่าน โดยเฉพาะหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชได้เคยเข้าไปกราบนมัสการท่านเจ้าคุณนรฯ ที่พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส หลังจากท่านเจ้าคุณนรฯทำวัตรเสร็จ ก็ได้พูดคุยถามถึงสาระทุกข์สุกดิบสุขภาพของท่านสบายดีหรือไม่ เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า และเรื่องอื่นๆ เมื่อสบโอกาสเหมาะ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชจึงเรียนถามท่านว่า"เกล้าฯได้ยินข่าวร่ำลือว่าพระเดชพระคุณท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์จริงหรือขอรับ" เมื่อท่านเจ้าคุณนรฯได้ยินคำถามของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านก็กวักมือเรียกหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชให้เข้ามาใกล้ๆท่านและพูดตอบกระซิบว่า"เธอจะบ้าหรือไง" ผู้เขียนเข้าใจว่าคำตอบของท่านเจ้าคุณนรฯ มิใช่คำตอบรับหรือปฏิเสธ แต่เป็นคำตอบที่มีลักษณะตำนิติเตียนว่าไม่ควรถามคำถามนี้ต่อพระภิกษุ เป็นคำถามที่ไม่เหมาะสมไม่สมควรเพราะถ้าพระภิกษุตอบรับหรือปฏิเสธ ก็จะมีผลเสียหายมากกว่าผลดี ถ้าท่านตอบรับว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ บุคคลอื่นที่มีใจอิษฉาริษยา จะกล่าวโจมตีว่าเป็นการโอ้อวดคุณวิเศษยกตนข่มผู้อื่น แต่ถ้าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์จริง แล้วท่านกล่าวปฏิเสธ ก็จะเป็นการกล่าวเท็จผิดศิล ซึ่งผิดกับปัจจุบันนี้ พระภิกษุไม่ว่าหัวหงอกหรือหัวดำมักจะอวดอุตริอ้างว่าตนเองสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผู้เขียนไม่ทราบว่าท่านทำเพื่ออะไร ?
หลังจากที่ท่านเจ้าคุณนรฯมรณภาพเมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ ชื่อเสียงของท่านก็เริ่มโด่งดัง โดยเฉพาะปีพ.ศ.๒๕๑๖-๒๕๑๘ชื่อเสียงของท่านดังทั่วประเทศ มีเสียงร่ำลือว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ัดังได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น พระเครื่องของท่านจึงเป็นที่นิยมมากของนักสะสมพระเครื่อง มีเสียงร่ำลือว่าพระเครื่องที่ท่านนั่งปรกปลุกเสกเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๓ซึ่งมีจำนวนมาก ได้จำหน่ายหมด แต่ประชาชนยังมีความต้องการอีกมาก จึงมีการสร้างเสริมขึ้นมา ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ผู้เขียนไม่ขอยืนยัน ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านผู้อ่าน
สมเด็จผาสุก (พิมพ์เล็ก) บล็อกแตก
สมเด็จผาสุก (พิมพ์เล็ก) บล็อกแตก
สมเด็จผาสุก (พิมพ์เล็ก) บล็อกไม่แตก
บทความนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงพระสมเด็จผาสุก(พิมพ์เล็ก) ซึ่งเป็นพระที่เข้าพิธี ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๓ ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งมีจำนวนการสร้างน้อยมาก(ประมาณ ๒,๐๐๐-๓๐๐๐องค์) พระชุดนี้ท่านเจ้าคุณอุดมตั้งใจเอาไว้แจกในงานวันเกิดท่าน จึงไม่มีการจำหน่าย แต่พระชุดนี้ส่วนหนึ่งท่านเจ้าคุณอุดมได้มอบให้เจ้าคุณวัดโพธิ์ จังหวัดสุโขทัย พระชุดนี้จึงตกอยู่จังหวัดสุโขทัยเป็นจำนวนมาก ในกรุงเทพฯหาได้ยาก พระสมเด็จผาสุกเล็กในเวลานั้นคนรู้จักน้อย ผู้เขียนมั่นใจว่าพระชุดนี้ไม่มีการสร้างเสริมแน่นอน
พระสมเด็จผาสุกเล็กเป็นพระเนื้อผงเช่นเดียวกับสมเด็จหลังอุ ขนาดฐานกว้าง ๑.๕ เซนติเมตร สูง ๒.๒ เซนติเมตร ด้านหลังองค์พระ มีรูปยันต์น้ำเต้า และมีข้อความว่า"ผาสุก" พุทธคุณดีทางด้านเมตตาและแคล้วคลาด ค่านิยมราคาประมาณองค์ละ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท
สุพล คีรีวิเชียร
๐๘๑-๐๔๓๔๑๑๔